Facebook Fanpage


Miracle Carboxy Buffet

++++++++++++++++++++++++++++++++++++

carboxy web

คาร์บ๊อกซี่ลดความอ้วน กระชับสัดส่วน สลายไขมัน

กำจัดรอยแตกลาย ผิวเปลือกส้ม สลายเซลลูไลท์ ปลอดภัย
ด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์บริสุทธิ์ที่เข้ากับร่างกายได้ดี
เพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้มากขึ้น

บุฟเฟต์เดือนละ 5,999 บาท

(ไม่จำกัดจำนวนครั้ง และปริมาณก๊าซใน 1 เดือน)

คิดราคาเบ็ดเสร็จไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

มีระบบผ่อนจ่ายทั้งเงินสด เเละบัตรเครดิต

——————————————————

ต้องการสอบถามข้อมูล/นัดคิวพบแพทย์

มีให้บริการทั้งทาง Line เเละ FB กดที่ไอคอนได้เลยค่ะ

Line iconFB icon

เปิดให้บริการทุกวันเวลา 11:00 น. – 20:00 น.

โทรศัพท์สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

สาขาสุขุมวิท 42/1 : 096-895-4232 , 02-712-2127

สาขา BTS วงเวียนใหญ่ : 061-645-1646 , 02-862-1999

สาขาเมืองทองธานี : 096-946-9665 , 02-981-7888

แผนที่คลินิกคลิ๊ก !!

                “อยากผอม” ดูจะเป็นคำศักดิ์สิทธิที่หลายๆ คนที่ไม่มีเวลา แถมอายุยิ่งเพิ่มขึ้นยิ่งลดสัดส่วนได้ยากใฝ่ฝันถึง ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ที่ภาวะน้ำหนักเกินจนถึงอ้วนมากกว่า 17 ล้านคน และพบอีกว่าในแต่ละปีคนไทยเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นถึง 25% ของประชากรทั้งหมด ที่แย่กว่านั้นคือมีผู้เสียชีวิตจากโรคอ้วนถึงปีละประมาณ 2 หมื่นคน และมีแนวโน้มว่าอัตราการเพิ่มของโรคอ้วนจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ภาวะไขมันสะสม หรือความอ้วนคงไม่มีใครจะเดือดร้อนเท่ากับตัวคุณเอง และคนที่รักคุณ นอกจากเรื่องความสวยงามที่อาจจะยุ่งยากในเรื่องการแต่งตัวแล้ว แต่ที่สำคัญก็คือการมีไขมันส่วนเกิน และโรคอ้วน จะทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้ทั้งกายและใจ ยังมีผลต่อบุคลิกภาพและความมั่นใจอีกด้วย ปัจจุบันวิทยาการทางการแพทย์ได้พัฒนาการรักษา ลดไขมันส่วนเกิน และเซลล์ลูไลต์ โดยไม่ต้องผ่าตัดดูดไขมัน ใช้เวลาทำการรักษาไม่นาน และยังได้ผลเป็นอย่างดีเรียกว่าคาร์บ๊อกซี่ Carboxy ขึ้นมาเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนรักการดูแลรูปร่าง คาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์บริสุทธิ์ ที่ไม่มีอันตรายต่อร่างกายแน่นอนค่ะ เนื่องจากแก๊ส  คาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) หรือ คาร์บอนไดออกไซด์ ที่ฉีดก็เป็นแก๊สชนิดเดียวกับที่ร่างกายผลิตออกมา แล้วขับออกทางการหายใจ หรือเป็นเหมือนแก๊สที่ผสมอยู่ในน้ำอัดลม น้ำโซดาที่เราดื่มเข้าไปนั่นเอง

               Carboxy คาร์บ๊อกซี่ คือการกำจัดไขมัน การลดไขมันเฉพาะส่วนหรือเฉพาะจุดที่ต้องการด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (C02) ซึ่งคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) เป็นก๊าซที่สามารถละลายน้ำได้ดี สลายตัวได้รวดเร็ว และเมื่อฉีดก๊าซคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) เข้าไปยังบริเวณชั้นไขมันสะสมใต้ผิวหนังก๊าซคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) จะแทรกเข้าไปบริเวณเนื้อเยื่อไขมันจะเกิดปฏิกิริยาไปรวมตัวกับน้ำในเซลล์ทำให้เกิดเป็นกรดคาร์บอนิค ซึ่งกรดนี้จะมีคุณสมบัติในการไปสลายเซลล์ไขมัน จากนั้นก๊าซคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) อีกส่วนจะออกแรงดันทำให้เซลล์ไขมันซึ่งเป็นก้อนกลมๆ อยู่ในชั้นผิวแตกตัวออกเป็นเซลล์ขนาดเล็กลง นอกจากนี้ผลอีกอยากหนึ่งของก๊าซคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) เมื่อมีอยู่มาก ร่างกายจะสูบฉีดเลือดทำให้เกิดการขยายตัวของเส้นเลือดให้นำก๊าซออกซิเจนไปยังบริเวณรับบบริการคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) มากขึ้นโดยปริยาย เพื่อกำจัดก๊าซคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) ให้หายไปกลายเป็นพลังงานความร้อน โดยกระบวนการนี้จะเกิดในชั้นเนื้อเยื่อไขมันด้วยทำให้เซลล์ไขมันสลายตัว จึงถูกเผาผลาญและกำจัดออกไปจากร่างกายได้ง่าย ซึ่งนับเป็นเทคนิคใหม่ในการขจัดเซลลูไลท์ หรือลดไขมันเฉพาะส่วนที่ไม่ต้องการอย่างเช่นบริเวณ หน้าท้อง ใต้ท้องแขน ก้น บริเวณน่องที่โต หรือแม้กระทั่งบริเวณสะโพกที่ใหญ่เกินไป

              Carboxy (Carboxy) มีระบบการทำงานโดยไม่ต้องทำการผ่าตัด เพียงแพทย์จะทำความสะอาดผิวบริเวณที่จะฉีดคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) ด้วยแอลกอฮอล์เช่นเดียวกับการฉีดยาทั่วไป จากนั้นจะใช้เข็มขนาดเล็กมาก (เบอร์ 30) จิ้มเข้าไปที่ชั้นผิว ปลายเข็มจะเป็นท่อสำหรับปล่อยก๊าซคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) เข้าไป โดยอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) จะอยู่ที่ประมาณ 60-80 CC ต่อนาที จนกระทั่งถึงสูงสุดคือ 150 CC ทั้งนี้ขึ้นกับสภาพปัญหาการสะสมของไขมัน หรือความอ้วนของคนไข้แต่ละบุคคล โดยมีการปล่อยก๊าซคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) ดักไขมันเป็นระยะ เช่น ถ้าต้องการลดความอ้วนช่วงเอว อาจต้องปล่อยก๊าซคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) ที่เอวด้านซ้าย และเอวด้านขวา ส่วนถ้าต้องการลดขนาดต้นขาอาจต้องปล่อยก๊าซคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) สามด้าน ต้นขาด้านหน้า ต้นขาด้านหลัง และต้นขาด้านใน

ประโยชน์ของการรักษาด้วยเทคนิคการฉีดคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy)
1. คาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) ลดปัญหาเซลลูไลท์ สลายไขมันเฉพาะจุด ที่บริเวณ แก้ม คาง ต้นแขน หน้าท้อง ต้นขา
2. คาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) ลดรอยแตกลาย ชนิดที่เป็นสีขาว เช่น รอยแตกที่พบตามหลังการตั้งครรภ์

                ข้อดีของวิธีการฉีดคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) ลดน้ำหนัก
               ก๊าซคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) กับน้ำจะทำให้ได้กรดคาร์บอนิก ซึ่งเมื่อแคลเซี่ยมในร่างกายจับกันกับกรดคาร์บอนิกจะส่งผลให้หลอดเลือดขยายตัวในบริเวณนั้น ทำให้เลือดมาเลี้ยงบริเวณดังกล่าวได้มากขึ้น และเมื่อออกซิเจนในบริเวณนั้นเพิ่มขึ้น การเพิ่มขึ้นของออกซิเจนนั้นจะลดการคลั่งของของเหลวระหว่างเซลล์ ผลที่ได้จากทำก๊าซคาร์บ๊อกซี่ Carboxy Therapy คือจำนวนเซลล์ไขมันที่ลดลง และเนื้อเยื่อผิวหนังที่กระชับตึงตัวขึ้น

                ข้อดีของวิธีการฉีดคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) รักษารอยแตกลาย
               วิธีนี้เป็นวิธีการฉีดก๊าซก๊าซคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) เข้าไปเพียงชั้นผิวหนังตื้นๆ ตามแนวร่องบริเวณที่มีการแตกลาย จึงไม่มีอาการเจ็บ หรือปวดในการรับบริการ ซึ่งก๊าซคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) จะรวมตัวกับน้ำเป็นกรดคาร์บอนิค ทำให้เซลล์ผิวหนังที่มีปัญหาถูกทำลายแล้วจากร่างกายจะปรับตัวสมานแผล ทำให้รอยแตกลายเล็กลง และดูกลมกลืนไปกับผิวปกติ และยังพบว่าก๊าซก๊าซคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) ที่ฉีดเข้าไปสามารถกระตุ้นการไหลเวียนเลือดบริเวณผิว ช่วยในการสร้างเส้นใยคอลลาเจนใต้ผิวทำให้ผิวตึงกระฉับขึ้น วิธีก๊าซคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) นี้จึงถูกนำมาใช้ในหลายกรณี เช่น สลายไขมันส่วนเกินตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยวิธีกำจัดไขมันส่วนเกินต้องฉีดก๊าซก๊าซคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) ลึกเข้าไปในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง จากการศึกษาวิธีนี้ใช้ได้ผลชัดเจน

               การเตรียมตัวเมื่อรับบริการฉีดคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy)
               ควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก่อนทำการรักษาด้วยก๊าซคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) ทุกครั้ง เนื่องจากโรคประจำตัวบางชนิดถือเป็นข้อห้ามในการรักษา เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมความดันไม่ดี โรคไตเรื้อรัง การตั้งครรภ์ โรคจิตเวช โรคลมชัก โรคเบาหวาน โรคที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ผู้ป่วยที่ได้รับยาที่ทำให้เลือดแข็งตัวยาก หรือ บริเวณที่ฉีดมีความผิดปกติของเส้นเลือดจนเป็นอุปสรรค์ต่อการฉีดก๊าซคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy)

เมโส โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ ร้อยไหม ฉีดผิว อ้วน สิว ฝ้า กระ หลุมสิว รูขุมขนกว้าง

               การฉีดคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) เจ็บหรือไม่? และมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?
               ด้วยความที่ร่างกายสามารถสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นมาได้เองอยู่แล้ว ดังนั้นการฉีดก๊าซก๊าซคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) ตัวนี้เข้าไปจึงไม่เหมือนกับการฉีดสารเคมีชนิดอื่นๆ เข้าไปเพื่อสลายไขมัน ร่างกายจะไม่รู้สึกต่อต้าน และไม่เสี่ยงกับอาการแพ้ ระหว่างทำการรักษาจะรู้สึกตึงๆ หรือ ชา บริเวณที่ฉีดก๊าซคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) ซึ่งอาการดังกล่าวจะหายไปในไม่กี่นาที บริเวณที่ฉีดอาจรู้สึกอุ่น หรือแดง เพียงเล็กน้อยประมาณ 10-20 นาที เนื่องจากมีการเพิ่มการไหลเวียนของเลือด และในบางคนอาจจะสามารถคลำได้เสียงเหมือนมีก๊าซก๊าซคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) อยู่ใต้ผิว (cracking) หลังการรักษาอาจจะรู้สึกเมื่อยหรือรู้สึกตึงๆ บริเวณที่ฉีด ในบางคนอาจจะพบรอยช้ำจากเข็มที่ฉีดได้ ซึ่งจะหายไปเองภายใน 1-3 วัน สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น

               ระยะเวลาที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลง และ จำนวนครั้งในการรักษา
               หลังการทำการรักษาด้วยก๊าซคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) ไม่มีข้อห้ามใดๆ ซึ่งสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ สำหรับคนไข้บางคนอาจควบคุมอาหาร และทำการออกกำลังกายควบคู่ประกอบเพื่อให้ผลการรักษาที่ดียิ่งขึ้น

               สำหรับจำนวนครั้งในการทำก๊าซคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) นั้นขึ้นอยู่กับปริมาณไขมัน เซลลูไลท์ และความหย่อนคล้อยของผิวหนังของผู้ทำการรักษาแต่ละท่าน ซึ่งในเบื้องต้นควรจะต้องรับการรักษาอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง โดยเฉลี่ยประมาณ 8 – 12 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 15 – 30 นาที และเมื่อทำการรักษาผ่านไป ประมาณ 2-4 ครั้งจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง โดยครั้งที่ 5- 10 จะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน

               ทั้งนี้ผลของการรักษาด้วยก๊าซคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) จะอยู่ได้นานเท่าใดขึ้นอยู่กับตัวคนไข้ด้วย หากคนไข้รักษาสุขภาพ รับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะไม่พบปัญหาเรื่องเซลลูไลท์อีก แต่ถ้าขาดการดูแลอย่างถูกวิธีก็จะมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาขึ้นอีก ซึ่งโดยปกติเซลลูไลท์จะเริ่มกลับมาหลังการทำไปประมาณ 5-6 เดือน ซึ่งถ้าสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง และรีบแก้ไขก็จะใช้จำนวนครั้งการทำเพียง 3-5 ครั้งก็สามารถแก้ไขได้

               นอกจากนี้การรักษาก๊าซคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) รอยแตกลายเป็นการรักษาที่ให้ผลดีที่สุดซึ่งจะสามารถเห็นผล ในการรักษาเพียงทำการรักษาแค่ 1-2 ครั้งเท่านั้น ทั้งนี้จะทำให้ผิวกระชับขึ้นเมื่อได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง

การฉีดคาร์บ๊อกซี่ (Carboxy) ข้อห้ามสำหรับผู้ที่ไม่ควรรับบริการ
1. ผู้ป่วยโรคหัวใจ
2. ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมความดันไม่ปกติ
3. ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง
4. ผู้ที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์ เตรียมตัวตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
5. ผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของ เลือดผิดปกติ
6. ผู้ป่วยที่ได้รับยาที่ทำให้เลือด แข็งตัวยาก
7. บริเวณที่ฉีดมีความผิดปกติของเส้นเลือดจนเป็นอุปสรรค์ต่อการฉีด เช่น มีเส้นเลือดฝอยนูนเยอะ
8. ผู้ป่วยโรคจิตเวช
9. ผู้ป่วยเคยมีประวัติ STROKE หรือลมชัก
10. ผู้ป่วยโรคเบาหวาน